กู้ซื้อคอนโด

กู้ซื้อคอนโด ง่ายนิดเดียว สไตล์มนุษย์เงินเดือน ฉบับใช้ได้จริงไม่มโน

มนุษย์เงินเดือนหลายๆ คน พอทำงานเก็บเงินได้ซักก้อน กู้ซื้อคอนโด คงมีความฝันที่จะมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองใช่มั้ยล่ะคะ นอกเหนือจากบ้าน และทาวน์โฮมแล้ว ที่อยู่อาศัยที่กำลังเป็นที่นิยมก็คือ คอนโดมิเนียม เพราะคอนโดมักจะตั้งอยู่ในทำเลที่ดี เดินทางสะดวก ใกล้รถไฟฟ้าหรือใกล้ที่ทำงาน เหมาะกับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งตอนนี้คอนโดก็ผุดขึ้นยังกับดอกเห็ด ทำให้มีตัวเลือกให้เราเปรียบเทียบมากมาย

พอเราไปดูโครงการหลายๆ โครงการเข้าก็จะเกิดความรู้สึกว่า “อันนู้นก็ดูดี อันนี้ก็อยากได้” จนบางทีก็เกือบจะหน้ามืดตัดสินใจวางเงินจองคอนโดที่ราคาสูงเกินกำลังผ่อนชำระของเรา แล้วอย่างงี้จะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าเราควรจะซื้อคอนโดราคาเท่าไหร่ถึงจะพอ กู้ซื้อคอนโด ได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป และคอนโดที่เราซื้อได้นั้นมันอยู่ทำเลไหนกันบ้างนะ บทความซื้อคอนโดสไตล์มนุษย์เงินเดือน วันนี้พวกเรา nearmecondo.com จะมาไขข้อข้องใจในการกู้เงินเพื่อซื้อคอนโดให้รู้กันค่ะ

ทำไมมนุษย์เงินเดือนถึงนิยม กู้ซื้อคอนโด 2025

 

 

กู้ซื้อคอนโด
กู้ซื้อคอนโด

ในยุคที่การเดินทางเป็นเรื่องสำคัญ และเวลามีค่า มนุษย์เงินเดือนจำนวนมากจึงเลือกที่จะซื้อคอนโดเป็นที่อยู่อาศัย ด้วยเหตุผลหลักๆ เช่น ทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง ใกล้ที่ทำงาน หรือสถานีรถไฟฟ้า อีกทั้งยังมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันในโครงการเดียว ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนส สระว่ายน้ำ หรือระบบรักษาความปลอดภัย นอกจากนี้ คอนโดยังมีราคาที่เข้าถึงได้มากกว่าบ้านเดี่ยวในทำเลเดียวกัน ทำให้สามารถผ่อนชำระได้ง่ายกว่าในงบประมาณที่จำกัด เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นสร้างเนื้อสร้างตัว ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและการใช้ชีวิตแบบมีคุณภาพในเมืองใหญ่

ในปี 2025 นี้ รายได้ของพนักงานประจำหรือมนุษย์เงินเดือนในประเทศไทยมีแนวโน้มเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 20,000–50,000 บาทต่อเดือน โดยกลุ่มที่มีประสบการณ์หรือทำงานในสายเทคโนโลยี การเงิน หรือบริหาร มักมีรายได้สูงขึ้นไปถึงหลัก 70,000 บาทขึ้นไปต่อเดือน ซึ่งด้วยระดับรายได้นี้ การซื้อคอนโดจึงเป็นทางเลือกที่จับต้องได้มากกว่าการซื้อบ้านเดี่ยวในเมือง เพราะใช้เงินดาวน์น้อยกว่า ผ่อนสบายกว่า และสามารถเริ่มต้นมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ในขณะที่ยังมีอายุน้อย อีกทั้งยังช่วยสร้างเครดิตทางการเงินให้แข็งแรงในระยะยาวด้วย

ความสะดวกสบายในการเดินทาง

คอนโดส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะอย่าง BTS หรือ MRT ทำให้เดินทางไปทำงานได้ง่ายและรวดเร็ว ลดเวลาบนท้องถนนได้มาก อีกทั้งยังช่วยลดความเครียดจากการเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตของมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ อย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังสามารถใช้เวลาในการเดินทางที่ลดลงไปทำกิจกรรมอื่นๆ ได้มากขึ้น เช่น ออกกำลังกาย เรียนออนไลน์ หรือพักผ่อนกับครอบครัว

สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

หลายโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ เช่น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ ล็อบบี้ รปภ. 24 ชั่วโมง และที่จอดรถส่วนตัว ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาหาสิ่งเหล่านี้จากที่อื่น แถมยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่เน้นความสะดวกสบาย ไม่ต้องเดินทางไกลเพื่อออกกำลังกาย หรือหาที่พักผ่อนในวันหยุด เพราะทุกอย่างอยู่ภายในคอนโดทั้งหมด

ราคาเข้าถึงได้มากกว่าบ้านเดี่ยว

เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเดี่ยวในทำเลเดียวกัน คอนโดจะมีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มทำงาน หรือมีงบจำกัด

หลักการเบื้องต้นของการ กู้ซื้อคอนโด สำหรับมนุษย์เงินเดือน

การกู้เงินเพื่อซื้อคอนโดมิเนียมสำหรับมนุษย์เงินเดือนนั้นมีหลักการเบื้องต้นที่ควรเข้าใจเพื่อไม่ให้เกิดภาระหนี้สินเกินกำลัง โดยหลัก ๆ แล้วการกู้ซื้อคอนโดจะมีข้อกำหนดที่สำคัญ ดังนี้

  • วงเงินกู้ไม่เกิน 90% โดยทั่วไปธนาคารจะอนุมัติวงเงินกู้ไม่เกิน 90% ของราคาประเมิน หรือราคาขายของคอนโด ซึ่งหมายความว่าเราจะต้องเตรียมเงินดาวน์ในส่วนที่เหลือ (ประมาณ 10%) เพื่อทำการซื้อ

  • กู้เพิ่มเพื่อแต่งห้อง ในบางกรณี ธนาคารอาจอนุญาตให้กู้เพิ่มเพื่อใช้ในการตกแต่งห้อง เช่น ปรับปรุงพื้นที่ใช้สอย หรือเพิ่มเติมเฟอร์นิเจอร์ โดยส่วนใหญ่จะกู้ได้ไม่เกิน 10% ของราคาคอนโด แต่จะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยหลัก

  • การเตรียมเงินสดในวันโอน นอกจากเงินดาวน์แล้ว ยังต้องเตรียมเงินสดสำหรับค่าใช้จ่ายในวันโอน เช่น ค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์ ค่าอากรแสตมป์ และค่าบริการต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องชำระในวันที่ทำการโอนกรรมสิทธิ์คอนโด

  • การพิจารณาจากรายได้ ธนาคารจะพิจารณาเงินเดือนหรือรายได้ประจำของผู้กู้เป็นหลักในการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ โดยทั่วไปแล้วจะคำนวณจากรายได้สุทธิของผู้กู้และอนุมัติวงเงินประมาณ 40-50 เท่าของรายได้ต่อเดือน เช่น หากคุณมีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน อาจได้รับวงเงินกู้ประมาณ 1.2-1.5 ล้านบาท

  • ประวัติทางการเงิน การรักษาวินัยทางการเงินถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะธนาคารจะตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ เช่น หนี้บัตรเครดิต สินเชื่อต่าง ๆ หากมีประวัติการชำระหนี้ที่ดี จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับวงเงินกู้ที่สูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า

วงเงินกู้ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง

ฐานเงินเดือนหรือรายได้ประจำของผู้ กู้ซื้อคอนโด ถือเป็นตัวแปรหลักในการพิจารณาวงเงินสินเชื่อของธนาคาร โดยทั่วไปแล้ว ธนาคารจะใช้เกณฑ์การพิจารณาวงเงินกู้จากรายได้สุทธิของผู้กู้ โดยอนุมัติวงเงินประมาณ 40–50 เท่าของรายได้ต่อเดือน เช่น หากคุณมีเงินเดือน 30,000 บาท วงเงินกู้ที่คาดว่าจะได้รับจะอยู่ที่ประมาณ 1.2–1.5 ล้านบาท ทั้งนี้ วงเงินที่ได้รับอาจสูงหรือต่ำกว่านี้ขึ้นอยู่กับภาระหนี้ที่มีอยู่แล้ว ค่าใช้จ่ายประจำ และความมั่นคงของรายได้

นอกจากนี้ ผู้ที่มีรายได้แบบค่าคอมมิชชั่น รายได้เสริม หรือรายได้แบบฟรีแลนซ์ อาจต้องแสดงเอกสารแสดงรายรับย้อนหลัง และธนาคารบางแห่งอาจคำนวณเฉพาะรายได้หลักที่มีความแน่นอนเท่านั้น ดังนั้น ผู้กู้ควรเตรียมหลักฐานทางรายได้อย่างละเอียด เช่น สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3–6 เดือน ใบรับรองเงินเดือน หรือ Statement บัญชีเงินเดือน เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือในการพิจารณาสินเชื่อ รายได้ประจำของผู้กู้ถือเป็นปัจจัยหลักในการประเมินวงเงิน โดยธนาคารมักจะให้กู้ได้ประมาณ 40–50 เท่าของเงินเดือน

ประวัติทางการเงินเพื่อ กู้ซื้อคอนโด

การผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อ หรือมีประวัติค้างชำระในอดีต ล้วนเป็นข้อมูลสำคัญที่ธนาคารใช้ประกอบการพิจารณาวงเงินสินเชื่อ หากมีประวัติผิดนัดชำระ หรือชำระล่าช้าอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิต (Credit Score) ซึ่งอาจทำให้ธนาคารลดวงเงินที่สามารถอนุมัติได้ หรืออาจถูกปฏิเสธการกู้โดยสิ้นเชิง ในทางกลับกัน หากมีประวัติการชำระหนี้ที่ดีตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ จะเพิ่มความน่าเชื่อถือ และอาจได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า ดังนั้น การรักษาวินัยทางการเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีแผนจะขอสินเชื่อเพื่อซื้อคอนโด

ความมั่นคงในหน้าที่การงาน

ผู้ที่มีอายุงานนาน มีอาชีพที่มั่นคง หรือทำงานกับบริษัทที่มีชื่อเสียง จะมีโอกาสได้รับวงเงินกู้ที่สูงกว่า ประสบการณ์การทำงานและสถานะทางการเงินที่แข็ง ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับวงเงินสินเชื่อที่สูงขึ้นจากธนาคารแล้ว หากคุณต้องการปรับข้อความเพิ่มเติมหรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนอื่น ๆ บอกได้เลยค่ะ

การคำนวณราคาคอนโดที่เหมาะสมกับรายได้

สูตรคำนวณคร่าวๆ

นำรายได้สุทธิต่อเดือน x 50 จะได้เป็นราคาคอนโดที่พอเหมาะ เช่น เงินเดือน 30,000 บาท x 50 = 1,500,000 บาท

รู้จัก “เพดานกู้” ของตัวเอง

การรู้ลิมิตของตัวเองจะช่วยให้ไม่ผ่อนเกินกำลัง ไม่เสี่ยงเป็นหนี้เกินตัวในอนาคต

การแบ่งระดับรายได้ของมนุษย์เงินเดือน

  1. มนุษย์เงินเดือนน้องใหม่ (15,000–30,000)
    • กู้ได้ประมาณ 750,000–1,500,000 บาท เหมาะกับคอนโดชานเมือง ราคาประหยัด
  2. มนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ (30,000–60,000)
    • กู้ได้ประมาณ 1,500,000–3,000,000 บาท สามารถเลือกคอนโดใกล้รถไฟฟ้าในโซนรอบนอกถึงกลางเมือง
  3. มนุษย์เงินเดือนระดับบอส (60,000 ขึ้นไป)
    • กู้ได้มากกว่า 3,000,000 บาท เลือกคอนโดในทำเลทองหรือคอนโดหรูได้มากขึ้น

เมื่อกู้เงินซื้อคอนโดได้แล้ว หน้าที่ถัดมาของมนุษย์เงินเดือนคือการผ่อนชำระกับธนาคาร หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ผ่อนล้านละ 7,000 บาท” ซึ่งหมายความว่า หากซื้อคอนโดราคา 1 ล้านบาท จะต้องผ่อนกับธนาคารเดือนละ 7,000 บาท และถ้าซื้อคอนโดราคา 2 ล้านบาท จะต้องผ่อนเดือนละ 14,000 บาท เป็นต้น หากเราซื้อคอนโดที่เกินกำลังหรือราคาสูงเกินความสามารถในการผ่อน แม้ว่าจะสามารถกู้ได้ก็อาจจะเกิดปัญหาในอนาคต เพราะเราจะมีภาระผ่อนชำระทุกเดือนจนทำให้เงินไม่พอใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ได้

โดยสาเหตุที่ทางธนาคารกำหนดให้ต้องผ่อนล้านละ 7,000 บาท เนื่องจากธนาคารได้คำนึงถึงหลักการที่ว่าเงินที่เราผ่อนชำระควรอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่ไม่สร้างความลำบากหรือกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การจัดสรรรายได้ที่ดีควรแบ่งออกเป็นสามส่วน ได้แก่ เงินสำหรับค่าใช้จ่ายประจำ เงินออม และเงินที่ใช้ในการผ่อนชำระหนี้หรือการลงทุนเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการกู้เพื่อซื้อบ้านหรือคอนโดที่ต้องพิจารณา ควรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากธนาคารเพื่อให้ทราบถึงค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก่อนตัดสินใจครับ ​​

อธิบายให้เห็นภาพมากขึ้นว่าทำไมต้องล้านละ 7,000 สมมติถ้านาย A มีเงินเดือน 20,000 บาท สามารถกู้เงินธนาคารมาซื้อคอนโดในฝันได้ 1,000,000 บาท(50 เท่าของเงินเดือน) ควรจะผ่อนไม่เกิน 3 เท่าของรายได้คือประมาณ 6,000-7,000 บาท นั่นเอง ในกรณีที่มนุษย์เงินเดือนน้องใหม่อยากมีคอนโดขึ้นมาจริงๆ ก็สามารถกู้ร่วมได้โดยคนที่จะมากู้ร่วมจะต้องเป็นญาติ หรือคู่สมรส แต่การหาคนอื่นมากู้ร่วมต้องไม่ทำให้คนอื่นและตัวเองเดือดร้อนนะ

การกู้เงินเพื่อซื้อคอนโดมิเนียม นอกจากการพิจารณาวงเงินกู้ที่เหมาะสมแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ ดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารนั้นจะมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับต้นทุนทางการเงินของแต่ละสถาบันการเงิน เมื่อเราเข้าไปขอข้อมูลดอกเบี้ยจากธนาคาร ธนาคารจะมีตัวเลือกให้เราเลือก ซึ่งจะมีรูปแบบอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกัน โดยทั่วไปในช่วงปีแรกของการกู้มักจะเป็น อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) ซึ่งหมายถึงอัตราดอกเบี้ยที่ผู้กู้จะต้องชำระในจำนวนเท่ากันตลอดระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา ซึ่งจะช่วยให้ผู้กู้สามารถวางแผนการเงินได้อย่างชัดเจนและมั่นใจในจำนวนเงินที่ต้องผ่อนทุกเดือน

ในปีถัดไป อัตราดอกเบี้ยจะเปลี่ยนเป็น อัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนี้จะขึ้นอยู่กับต้นทุนทางการเงิน สภาพเศรษฐกิจ และสถานการณ์ทางการเมือง โดยธนาคารจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหรือลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้ดอกเบี้ยที่มีการประกาศเป็นตัวชี้วัดหลัก เช่น MLR (Minimum Loan Rate) และ MRR (Minimum Retail Rate)

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย MLR และ MRR จะลดหรือเพิ่มขึ้นตามการประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย หากธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อัตราดอกเบี้ย MLR และ MRR ก็จะปรับลดลงตาม ซึ่งจะมีผลต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วย หากรัฐบาลต้องการกระตุ้นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยให้ดอกเบี้ยเงินกู้ถูกลง และทำให้ประชาชนมีแรงจูงใจในการซื้อคอนโดหรืออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ดังนั้น ผู้กู้ควรเข้าใจประเภทอัตราดอกเบี้ยและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย เพื่อการวางแผนการเงินที่เหมาะสมในการกู้เงินซื้อคอนโด และการเลือกธนาคารที่มีอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชำระของตัวเอง

MLR, MRR มันคืออะไร

ในการขอกู้เงินซื้อบ้านหรือคอนโด ดอกเบี้ยถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อภาระผ่อนในแต่ละเดือนอย่างมาก ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมแต่ละธนาคารถึงให้ “อัตราดอกเบี้ย” ไม่เท่ากัน บางแห่งใช้ MLR บางแห่งใช้ MRR แล้วเราจะเลือกยังไงถึงจะได้อัตราดอกเบี้ยที่ดีที่สุด?

MLR (Minimum Loan Rate)

MLR หรือ อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารใช้เป็นพื้นฐานในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ารายใหญ่ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น บริษัทใหญ่ หรือองค์กรที่มีเครดิตดี

  • เป็นอัตราที่ ใช้กับสินเชื่อแบบมีระยะเวลา (Term Loan) เช่น กู้ซื้อบ้าน กู้เพื่อขยายกิจการ

  • โดยทั่วไป จะ สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และ ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต

  • ตัวอย่างเช่น ธนาคารแห่งหนึ่งอาจประกาศว่า MLR = 6.65% ต่อปี

MRR (Minimum Retail Rate)

MRR คือ อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี ใช้กับลูกค้าทั่วไป เช่น บุคคลที่มากู้ซื้อบ้าน หรือกู้เพื่อใช้จ่ายส่วนตัว

  • เป็นอัตราที่ใช้สำหรับสินเชื่อบุคคล เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อส่วนบุคคล

  • โดยมากจะ ใกล้เคียงกับ MLR หรืออาจแตกต่างกันเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละธนาคาร

สรุปง่าย ๆ

คำย่อ ย่อมาจาก ใช้กับใคร ใช้กับสินเชื่อแบบไหน
MLR Minimum Loan Rate ลูกค้ารายใหญ่ สินเชื่อแบบมีระยะเวลา
MRR Minimum Retail Rate ลูกค้ารายย่อย สินเชื่อบุคคล เช่น ซื้อบ้าน

หากคุณเห็นอัตราดอกเบี้ยเช่น “MRR -1.5%” ในสัญญาเงินกู้ หมายความว่า ดอกเบี้ยจะถูกลดลงจากอัตรา MRR ตามที่ธนาคารประกาศ เช่น:

  • MRR = 7.0%

  • ดอกเบี้ยจริงที่ต้องจ่าย = 7.0% – 1.5% = 5.5% ต่อปี

ธนาคารแจ้งว่า MLR = 6.85% ดังนั้น ดอกเบี้ยที่แท้จริงในปีนั้น = 6.85 – 1.15 = 5.7% ซึ่งตรงกับที่แสดงไว้ในคอลัมน์ปีที่ 3 → 5.70%ดอกเบี้ยช่วงแรกมักถูก (ดึงดูดใจให้กู้)

จากนั้นจะค่อย ๆ ปรับขึ้นตามสูตร MLR – ส่วนลด หาก MLR เปลี่ยนแปลง ดอกเบี้ยเราก็จะเปลี่ยนตาม ถ้าคุณกำลังดูสัญญาสินเชื่อซื้อบ้านหรือคอนโด  ดอกเบี้ยช่วงแรกถูกแค่ ชั่วคราว ต้องระวังการปรับขึ้นใน ปีที่ 3 เป็นต้นไป และควรตรวจสอบอัตรา MLR ปัจจุบันของธนาคารอยู่เสมอ

บทสรุป

บทความนี้เจาะลึกถึงแนวทางและเหตุผลที่มนุษย์เงินเดือนจำนวนมากเลือกซื้อคอนโดเป็นที่อยู่อาศัย เนื่องจากมีข้อได้เปรียบหลายด้าน ได้แก่ ทำเลที่ดีใกล้รถไฟฟ้า สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ราคาจับต้องได้ และเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคนเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีรายได้ในช่วงเริ่มต้นทำงานจนถึงระดับกลาง

นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำในการวางแผนกู้ซื้อคอนโดอย่างรอบคอบ เช่น ธนาคารส่วนใหญ่ให้กู้ได้ไม่เกิน 90% ของราคาประเมิน วงเงินกู้จะคำนวณจากรายได้เฉลี่ย โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 40–50 เท่าของรายได้ต่อเดือน ผู้กู้ควรเตรียมเงินดาวน์และค่าใช้จ่ายวันโอนให้พร้อม ต้องมีประวัติทางการเงินดี มีรายได้มั่นคง และอาชีพชัดเจน ผู้มีรายได้น้อยอาจเลือกกู้ร่วมกับญาติหรือคู่สมรสได้

ทั้งนี้ การวางแผนผ่อนชำระต้องไม่เกิน 1 ใน 3 ของรายได้ เช่น “ผ่อนล้านละ 7,000 บาทต่อเดือน” เพื่อให้ยังสามารถใช้จ่ายและออมเงินได้อย่างสมดุล นอกจากนี้ยังต้องทำความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ย ทั้งอัตราคงที่ในช่วงแรก และอัตราลอยตัวในระยะยาว ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงตัวแปรอย่าง MLR และ MRR โดยรวมแล้ว การซื้อคอนโดคือเป้าหมายที่เป็นไปได้ของมนุษย์เงินเดือน หากมีการวางแผนการเงินที่ดี มีวินัยทางการเงิน และเลือกคอนโดในระดับราคาที่สอดคล้องกับรายได้ของตนเอง

คำถามที่พบบ่อย

1. มนุษย์เงินเดือนเงินเดือนเท่าไหร่ถึงจะกู้ซื้อคอนโดได้?

โดยทั่วไปธนาคารพิจารณาวงเงินกู้จากรายได้ต่อเดือน x 40–50 เท่า เช่น หากมีรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน อาจกู้ได้ประมาณ 800,000 – 1,000,000 บาท

2. ถ้ามีภาระหนี้อยู่แล้วจะ กู้ซื้อคอนโด ได้ไหม?

ได้ แต่ธนาคารจะพิจารณาความสามารถในการผ่อนชำระ หากภาระหนี้รวมเกิน 40% ของรายได้ อาจทำให้กู้ได้น้อยลง หรือไม่ผ่าน

3. ต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่ก่อนซื้อคอนโด?

ควรมีอย่างน้อย 10–15% ของราคาคอนโดเพื่อเป็นเงินดาวน์ และอีก 3–5% สำหรับค่าธรรมเนียมวันโอน เช่น ค่าจดจำนอง ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง เป็นต้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Blogs
What's New Trending

Related Blogs